Tuesday, 18 May 2010

Green thumb logo | โลโก้กรีนธัม

พอได้คิดว่าจะได้ทำร้านของตัวเอง ก็เริ่มคิดไปต่างๆ นานา ว่าร้านเราจะเป็นแบบไหน อย่างไร ต้องมี
อย่างนั้นมั้ย? ร้านนั้นเค้ายังมีเลย ร้านเราจะมีบ้างได้มั้ย? หลายคำถามเกิดขึ้นมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่คิด
ไว้คือ Logo

ทุกวันนี้คนใช้คำว่า Logo จนมั่วไปเสียหมดแล้ว เท่าที่เคยได้ยินและเรียนมาบ้าง ทราบว่ามีข้อแตกต่าง
กันเล็ก ระหว่างกลุ่มคำที่เข้าข่ายเกี่ยวข้องกัน หรือสื่อไปในทางเดียวกัน คือ เป็นสัญลักษณ์อธิบายความ
เช่นคำว่า Symbol , Logo , Trade Mark หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งมันมีรายละเอียดต่างกันอยู่ แต่ด้วย
ความที่คนทั่วไปไม่ต้องการจะรับรู้ถึงความหมายของคำต่างๆ เหล่านี้ ก็เลยเรียกรวมๆ กันไปว่า Logo

ฉะนั้นจึงได้เริ่มคิดออกแบบ Logo ของร้านเอาไว้ ก่อนหน้านั้นก็ต้องมีชื่อเสียก่อน การเปิดร้านดีๆ สักร้าน
ควรมีที่มาของชื่อ เพื่อแสดงถึงหลักหรือแนวคิดของเราที่จะทำมันขึ้นมา ชื่อ Green thumb นั้นก็
จำมาจากสมัยเรียนมัธยม ครูเคยบอกไว้ว่ามันเป็นสำนวนภาษาอังกฤษ คำเหล่านี้ต้องจำเอาเท่านั้น ไม่มี
ในดิกชันนารี ความหมายของมันเป็นความหมายเชิงบวก ซึ่งก็เหมาะสมดีหากจะนำมาเป็นชื่อร้าน
ความหมายที่ตรงตัวเลยก็คงจะแปลว่า "นิ้วโป้งสีเขียว" แต่โดยสำนวนแล้ว หมายถึง "คนที่ปลูกต้นไม้
เก่ง ปลูกอย่างไรก็โตขึ้นๆ"
ก็คงมาจากการที่มนุษย์เราบางคนอยากจะปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่ง แต่ปลูก
อย่างไร ก็ไม่เจริญงอกงาม เท่ากับบางคนที่ปลูกเหมือนๆ กัน แต่กลับเจริญเติบโต ผลิดอกออกผล
เป็นอย่างดี มักใช้ในทางที่สื่อถึงต้นไม้ แต่เมื่อนำมาใช้กับธุรกิจ ผมก็เลยนำมาใช้เพื่อสื่อถึงความเจริญ
รุ่งเรืองงอกงาม จากนั้นการตกแต่งหรืออะไรก็แล้วแต่เกี่ยวกับร้าน ก็ล้วนมีสีเขียวเป็นองค์ประกอบ
เสียส่วนใหญ่้

จากนั้นก็นึกคำภาษาไทย ที่ใช้คำทับศัพท์ ว่าจะใช้คำสะกดแบบไหนดี สุดท้ายก็ลงกับ "กรีนธัม"
คำว่ากรีน น่าจะเขียนได้เพียงแบบนี้แบบเดียว แต่คำว่า "ธัม" นั้นเขียนได้หลายแบบมาก อาจจะไม่มี
ความหมายจริง แต่ด้วยมีตัว ธ. และ ม. ทำให้อาจเข้าใจได้ถึง ธรรม ซึ่งก็น่าจะเป็นความหมายที่ดีกว่า
คำสะกดอื่นๆ

นั่นคือในเชิงความหมาย แต่ในทางการออกแบบนั้น ที่เราเห็นก็คือ เส้นเขียวและเส้นดำ เส้นเขียวนั้นก็
แทนต้นไม้ หรือต้นกล้า ส่วนเส้นดำนั้นก็ให้ความรู้สึกเหมือนลายนิ้วมือ สื่อตรงตัวกับคำว่า thumb
ตัว
อักษรชื่อร้านที่ประกอบกันอยู่ ก็เขียนขึ้นใหม่ รวมทั้งแบบที่เป็นภาษาไทยด้วย...


No comments:

Post a Comment